เทศน์เช้า

ธรรมคัมภีร์

๒๔ มี.ค. ๒๕๔๒

 

ธรรมคัมภีร์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตอนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ถามเลยว่า “แต่ก่อนนี้เวลาพระหรือผู้ปฏิบัติข้องใจ พระนี่ต้องมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วจะหวังพึ่งใคร”

พระพุทธเจ้าว่า “อานนท์ ธรรมและวินัยนี้เราตรัสไว้ดีแล้วจะเป็นศาสดาของพวกเธอตลอดไป” ธรรมวินัยที่เราตรัสไว้ดีแล้วจะเป็นศาสดา เป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวของชาวพุทธทั้งหมด

ธรรมและวินัยเห็นไหม ถ้าเปรียบเหมือนปัจจุบันก็พระไตรปิฎกเป็นที่ยึดเหนี่ยวของผู้ที่ปฏิบัติ ของชาวพุทธ ถูกต้อง พระไตรปิฎกเป็นที่ยึดที่เหนี่ยว เป็นองค์ศาสดาเลยแหละ แล้วผู้ที่ปฏิบัติจริงสมควรแก่ธรรมนะ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมจะเคารพพระไตรปิฎกมาก จะเคารพธรรมมาก

ถ้าผู้ใดเคารพธรรมเห็นไหม อาจารย์มหาบัวบอก ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเก็บเล็กผสมน้อย อาบัติเล็กอาบัติน้อยนี่จะไม่ให้ผิดเลย ผู้ที่เคารพธรรมเคารพวินัยเห็นไหม เคารพพระพุทธเจ้าก็เคารพวินัยไง ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเธอ เคารพมากนะ ผิดเล็กผิดน้อยนี่ หลวงปู่มั่นจะไม่ให้มีผิดเลย เก็บเล็กผสมน้อย เคารพในพระพุทธเจ้า ผู้ที่เคารพพระพุทธเจ้าคือไม่ทำความผิดเห็นไหม ไม่ทำความผิดในวินัย แล้วยังปฏิบัติก็คือเคารพ

ถ้าเคารพธรรมและวินัย ธรรมอันนั้นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนี่ เพราะพระไตรปิฎกนี่เป็นแค่สื่อเข้าไปหาธรรมอันนั้น เป็นกิริยาของธรรม อาจารย์บอกว่าเป็นสื่อของธรรมเข้าไปหาธรรมนั้น เคารพรูปแบบก็เหมือนกับเราเคารพคัมภีร์เห็นไหม คัมภีร์ใบลานนี่เราเคารพ เคารพเพื่อจะเข้าไปหาธรรม เพราะคัมภีร์โบราณเป็นแผนที่ เป็นเครื่องบอกชี้ทางเราเข้าไป ก็กราบไหว้ กราบคนชี้แนะไง คัมภีร์เป็นการชี้แนะเข้าถึงธรรม

เราไหว้พระพุทธเจ้าเห็นไหม เรากราบพระพุทธรูป พระพุทธรูปนี่หล่อด้วยทองเหลือง แต่เรากราบถึงพระพุทธเจ้า คุณงามความดี พุทธคุณ ปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า กราบพระถึงพระ คือกราบคุณงามความดี พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เห็นไหม เรากราบพระทองเหลือง แต่กราบถึงพระ

เราเคารพคัมภีร์ก็เหมือนกัน เคารพคัมภีร์ตามธรรมคัมภีร์ เป็นศาสดาเพื่อเข้าหาธรรมจริงไง ธรรมนี้เป็นเนื้อธรรม ไม่ใช่เป็นกิริยาธรรมที่อยู่ในพระไตรปิฎก แต่เคารพคัมภีร์มาก ด้วยความเคารพนบนอบ ด้วยความเชื่อ ด้วยปักใจเชื่อไง หวงแหนรักษาไว้ด้วยคัมภีร์นี้ ผู้ปฏิบัติจริงนี่เป็นเจตนาที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มันก็เป็นตามความเป็นจริงไง

ธรรมะคือธรรมะแท้ๆ นี้คือธรรมะคัมภีร์ อาจารย์บอกเดี๋ยวนี้ปฏิบัติเหลือแต่ธรรมะคัมภีร์ เพราะว่าธรรมะคัมภีร์เห็นไหม เพราะไม่ได้เรียนอภิธรรมถึงได้เสียหาย ตัดสินกันด้วยคัมภีร์ไง ตัดสินแบบนักกฎหมายไง ตีความกฎหมายไปแต่มันก็ถูกตามกฎหมาย แต่เห็นไหมนี่ ธรรมะคัมภีร์ ถึงว่าทำคัมภีร์อ่านแล้วมันสลดใจ สลดใจที่ว่าอ้างไง อ้างว่าไม่ได้เรียนอภิธรรม ถ้าการเรียนอภิธรรมแล้วนี่จะตัดสินตั้งแต่วันนั้นได้เลยว่าคนทำบุญอย่างนี้จะได้บุญอย่างนี้ อ้างอภิธรรมว่าดวงใจที่ทำบุญนั้นได้บุญไง จะตอบได้

มันจะได้ได้ยังไง มันจะคิดอภิธรรม ถ้าตอบอภิธรรมได้ มันอยู่ที่โทรศัพท์ เจตนาของเขามันเจตนาที่โทรศัพท์ โทรศัพท์เที่ยวไปทวงไปจี้เขานั่นน่ะ แล้วว่ามันได้บุญน่ะ มันไม่ได้บุญ มันทำบุญเพราะความเกรงใจ ทำบุญเพราะความบีบคั้น มันทำบุญเพราะคันไถ เห็นไหม มันไม่ใช่ด้วยอภิธรรมนั้น

อภิธรรมนี้ก็เป็นคัมภีร์เห็นไหม แต่ในเมื่อคนมันมีความทุจริต คนมีการบิดเบือนใช้คัมภีร์นี้ตีความเข้าข้างตน บิดเบี่ยงประเด็นออกไปนี่ มีความทุจริตอันนั้น ทำไปด้วยความทุจริต ถึงว่ามันเป็นการใช้โทรศัพท์ตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ใช่ที่ว่าอภิธรรมนั้น แต่เวลาตัดสินก็ตัดสินอภิธรรม เอาอภิธรรมมาตัดสินนะ อ้างคัมภีร์มาตัดสิน อ้างกฎหมายไง เพราะอะไร เพราะว่าในเมื่อทุจริตนี้เป็นนามธรรม ความทุจริตเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่เวลาอวดไง ผู้ที่ไม่เคารพธรรม ธรรมใบลานไม่ใช่ธรรมความจริง ธรรมความจริงเคารพคัมภีร์ เคารพใบลาน เคารพพระไตรปิฎก เพื่อเข้าถึงธรรมใช่ไหม

แต่อันนี้อ้างว่าศึกษาเล่าเรียนคือว่าจำมา แล้วเบี่ยงเบนประเด็นเอาผลประโยชน์ พอผลประโยชน์ออกไปแล้ว คนที่จะเข้ามาควบคุมก็จะเอากฎหมายมาจับกฎหมาย เป็นข้ออ้างไง มีฐาน มีที่มา ถึงเอาพระไตรปิฎกนี้มาจับผิด ก็ตัดสินกันตามพระไตรปิฎกเห็นไหม

อย่างกรณีของพระไตรปิฎกนี่ว่าผิดตรงไหน อัตตา อนัตตานี่ นี่อ้างพระไตรปิฎก อ้างคัมภีร์กันนี่ ธรรมะคัมภีร์ เอากฎหมายกับกฎหมายตีความกฎหมายแข่งกันด้วยความกฎหมาย แต่ในเมื่อเอากฎหมายเข้าไปล้อมรอบแล้ว แม้แต่คัมภีร์ที่ว่าล้อมรอบ เพราะว่าไปไหนไม่รอดแล้ว เพราะคัมภีร์ล้อมไว้หมดว่าผิดตามคัมภีร์ ผิดตามคัมภีร์เพราะเจตนามันผิด แต่อ้างคัมภีร์ แต่ผิดคัมภีร์เห็นไหม เพราะความทุจริตเอาคัมภีร์นี้ไปเป็นเครื่องมือ เป็นสื่อ แล้วพออ้างคัมภีร์จนตรอกในคัมภีร์นั้น แล้วพอการตัดสินก็อ้างคัมภีร์อีก เห็นไหม เอาคัมภีร์มาตัดสิน

ก็นักกฎหมายก็ตัดสินกันตามกฎหมาย แต่มันมีเจตนาความผิดอันนั้น มันไม่ได้พูดถึงความผิดอันนั้นไง เพราะรู้ตามคัมภีร์ ตัดสินตามคัมภีร์ ธรรมน่ะธรรมคัมภีร์เห็นไหม ไม่ใช่ธรรมแท้ไง ผู้ที่ศึกษาคัมภีร์เพราะมันจนตรอกด้วยคัมภีร์นะนี่ ในเมื่อมีคัมภีร์อยู่ จนตรอกด้วยคัมภีร์แล้วตัดสินไม่ได้ ถ้าตัดสินตามธรรม ทุจริตเป็นทุจริต ความผิดเป็นความผิด ความโลภ ความโกรธ ความผิดแล้วต้องตัดสินให้เป็นความผิดไป

ในเมื่อเอาคัมภีร์มาอ้างก่อนไง ว่าคัมภีร์สอนไว้อย่างนั้น อยู่ในธรรมะ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มนั้นๆ เห็นไหม เพราะมีการทุจริตเอาคัมภีร์มาอ้าง เอากฎหมายมาอ้าง เหมือนกับผู้ที่รู้กฎหมายมาเบียดเบียนผู้ที่บ้านนอกคอกนาที่ไม่รู้กฎหมาย เอาความที่ตัวเองมีศักยภาพเหนือกว่ามากดขี่ข่มเหงคนข้างนอกไง พอเขารู้ทันขึ้นมาก็เบี่ยงเบนอีกว่ากฎหมายอันนี้ต้องเบี่ยงเบนไปอีก อ้างว่ากฎหมายนี้ถ้าชาวบ้านเขารู้แล้วก็จะไม่เป็นไร เห็นไหม

ถ้ารู้อภิธรรม ถ้าเรียนอภิธรรม เรียนอภิธรรมมาก็ธรรมะคัมภีร์มันจะอะไร อภิธรรมเป็นอภิธรรม แต่กิเลสเป็นกิเลส กิเลสอ้างอภิธรรมมาเพื่อเป็นทางรอด นี่ตัดสินกันตามคัมภีร์ ธรรมะตามคัมภีร์ คัมภีร์เป็นคัมภีร์ เป็นสื่อกลางที่วางไว้ตามกฎหมาย แต่คนที่จะเบี่ยงเบนจะพลิกแพลงไปตามนั้นต่างหากล่ะ อันนี้ต่างหากมันถึงว่าหลบเลี่ยงกันไปๆ นะ

หลบเลี่ยงนะ เพราะไม่ซื่อตรงกับคัมภีร์ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนรู้อยู่ว่าตนตั้งใจว่าอย่างไรนี่ มันก็จะรู้ว่าเราตั้งใจตรง ตั้งใจดี มันจะไม่ใช่แอบอ้างไง ถ้าตั้งใจผิดตั้งแต่ทีแรก แต่เข้าไปแอบแฝงอยู่ในคัมภีร์นั้นน่ะ เอาคัมภีร์นั้นเป็นเครื่องมือหากิน แล้วเราตัดสินก็ตัดสินตามคัมภีร์ เบี่ยงเบนอีก คร่อมไปตลอด มันไม่ตรงหรอก ถึงว่าธรรมะตามคัมภีร์ เดี๋ยวนี้มีแต่คัมภีร์ เดี๋ยวนี้มีแต่ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วไม่ซื่อตรงกับคัมภีร์นั้น ไม่ซื่อตรงกับพระไตรปิฎก ไม่เคารพพระพุทธเจ้าจริงตามที่ศึกษาเล่าเรียนมา

ผู้ที่ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมเห็นไหม ถึงเคารพธรรมจริง เคารพด้วยความเคารพ ไม่ใช่เคารพด้วยปากเคารพ แต่เวลาตัดสินออกมาตัดสินโดยความผิดพลาดทั้งหมดเลย เอาคัมภีร์มาอ้าง แต่หลังคัมภีร์นั้น สิ่งที่การช่วยเหลือกัน สิ่งที่เป็นการทุจริตอันนั้นไม่ได้พูดถึงเลย ไม่เคยพูดถึงเลย เพราะไม่มีใครซื่อสัตย์ตามความเป็นจริง

อ้าว เดี๋ยวนี้มันมีแต่คัมภีร์ๆ แล้วมันไม่จริง เวลาถามก็ถามโก้ๆ เวลาตอบกันก็ตอบกันโก้ๆ แต่เบี่ยงเบนว่ากิเลสล้วนๆ เลย กิเลสล้วนๆ เลย แต่พระไตรปิฎก คำสั่งสอนเห็นไหม อย่างหลวงปู่มั่นเก็บเล็กผสมน้อย มันซื่อสัตย์ไง ซื่อสัตย์กับตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเองก็เคารพตัวเองก่อน ต้องเคารพตนก่อนไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเคารพตน ตนกลัวตนจะพ้น จะคลาดเคลื่อนจากหลักความจริงไง

ศาสนานี่ พระไตรปิฎกชี้เข้ามาถึงการชำระกิเลส การชำระกิเลสต้องชำระตนก่อนนะ ชำระกิเลสของเรา ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้วจะเป็นที่พึ่งของทุกๆ คนได้ไง ตนพึ่งได้ พึ่งเราเองได้ เราจับผิดเราไม่ได้ นี่ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ รู้ๆ อยู่ในหัวใจดวงนั้นน่ะ ดวงที่ทุจริตรู้อยู่ ดวงไหนก็แล้วแต่ที่ทุจริตดวงนั้นรู้อยู่ ปิดตัวเองไม่ได้หรอก หลอกตัวเองไม่ได้ ตัวเองก็หลอกตัวเอง แล้วยังหลอกไปข้างนอกอีก นี่เพราะมันไม่ซื่อสัตย์กับตนเอง มันลบหลู่ตนเองแล้วมันยังไปลบหลู่คัมภีร์นั้นอีก หาว่าตีไปตามเสียงข้างมากไง ไม่เคารพตนแล้วยังไม่เคารพพระพุทธเจ้า ยังไม่เคารพพระไตรปิฎก ยังไม่เคารพธรรมที่ว่าเคารพกันจริงๆ แต่ไม่เคารพจริง ปากก็ว่าเคารพๆ เป็นผู้รักษาด้วยแต่ไม่เคารพ

กฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่กรรมเอาผิดได้ กฎหมายเอาความผิดไม่ได้เพราะมันไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมาย แล้วแง่ของกฎหมายมี เบี่ยงเบนตามแง่ของกฎหมาย นี่ตัดสินตามคัมภีร์ก็ตัดสินตามกฎหมาย แต่การตัดสินตามกฎหมาย กฎหมายก็แล้วคนตีความแล้วอยู่ที่หลักฐาน ถ้าไม่เข้าองค์ประกอบ ไม่ครบองค์ประกอบนี่แบบว่าก็ยกให้ก่อน

คัมภีร์นี้เปรียบเหมือนกฎหมาย ถ้าเราซื่อตรงกฎหมายไม่มีความหมายเลยถ้ามีศีล ๕ คนมีศีล ๕ คนมีธรรมนี่กฎหมายไร้ประโยชน์เลย แต่นี้ทำความผิดไปแล้วก็ยังว่าไม่ผิดอีก ก็ตีความกฎหมาย ตีความตามคัมภีร์กันไป